หลังจากกระแสการซื้อ-ขายสินค้าและบริการบนออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น การซื้อขายออนไลน์สร้างรายได้ให้กับผู้ขายอย่างมหาศาล ซึ่งทางกรมสรรพากรตรวจสอบร้านค้าบนออนไลน์ได้ยาก เนื่องจากไม่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง บางร้านไม่สามารถค้นหาได้ว่าใครเป็นเจ้าของ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาร้านค้าที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษี จึงได้มีมาตรการต่าง ๆ ออกมาจัดเก็บภาษีออนไลน์

          เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ปี 2018 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร โดยมีประเด็นสำคัญ คือ ให้สถาบันการเงินเปิดเผยข้อมูลบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษ ซึ่งเข้าข่ายต้องเสียภาษี หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ. เก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์” โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเก็บข้อมูลธุรกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2019 และมีคำสั่งให้สถาบันการเงินส่งรายงานธุรกรรมครั้งแรกในปี 2020

สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลการใช้บริการเมื่อใด

          สถาบันการเงินต่าง ๆ จะส่งข้อมูลทางการเงินให้กับกรมสรรพากรก็ต่อเมื่อมียอดเงินฝากหรือรับโอนเงิน ทั้งช่องทางเคานเตอร์ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม และการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Banking) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1. ฝาก หรือรับโอนเงินตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี ไม่ว่ามูลค่าจะมากหรือน้อยก็นับหมด เมื่อพบข้อมูลว่าบัญชีดังกล่าวมีการฝาก หรือรับโอนเงินเกิน 3,000 ครั้งจะต้องโดนตรวจสอบหมด
2. ฝากเงิน หรือมีเงินเข้าทุกบัญชีรวมกัน เกิน 400 ครั้ง และมียอดเงินรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาท/ปีขึ้นไป

          ทั้งนี้การนับยอดการทำธุรกรรมทางการเงิน จะนับแบบปีต่อปี โดยจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -  31 ธันวาคม ของปีนั้น ๆ แนะนำให้ผู้ขายของออนไลน์ดำเนินการให้ถูกต้อง ทั้งการยื่นภาษี ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เสียภาษี และจัดเก็บเอกสารต่าง ๆ จะเป็นผลดีกับตนเองและธุรกิจ